Sign In

ผิวหน้าหย่อนคล้อย สาเหตุและวิธีแก้ไขให้หน้ากลับมาตึงกระชับ

ผิวหน้าหย่อนคล้อย สาเหตุและวิธีแก้ไขให้หน้ากลับมาตึงกระชับ

ปัญหา “ผิวหน้าหย่อนคล้อย” คือหนึ่งในสัญญาณแห่งวัยที่สร้างความกังวลใจให้กับคนทุกเพศ ไม่ว่าจะเป็นกรอบหน้าที่เริ่มไม่คมชัด ร่องแก้มที่ลึกขึ้น หรือผิวใต้คางที่เริ่มหย่อนยาน ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามภายนอก แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนถึงสุขภาพของโครงสร้างผิวจากภายในที่เริ่มอ่อนแอลงตามกาลเวลา บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของปัญหาผิวหย่อนคล้อย ตั้งแต่สาเหตุที่แท้จริงซึ่งหลายคนอาจมองข้าม ไปจนถึงแนวทางการดูแลที่ครอบคลุม ตั้งแต่วิธีที่ทำได้เองที่บ้าน ไปจนถึงการพึ่งพาเทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อเป็นคู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับทุกคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กลับมาตึงกระชับและดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง

ผิวหย่อนคล้อยเกิดจากอะไร? เจาะลึกถึงต้นตอของปัญหา

how to fix sagging skin

การจะรับมือกับปัญหาได้อย่างตรงจุด เราต้องเข้าใจก่อนว่าความหย่อนคล้อยนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งสาเหตุหลักสามารถแบ่งออกเป็นปัจจัยภายในที่เราควบคุมได้ยาก และปัจจัยภายนอกที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราเอง

ปัจจัยภายในที่ควบคุมได้ยาก (Internal Factors)

การสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินตามวัย: นี่คือสาเหตุหลักตามธรรมชาติ โดยปกติแล้วเมื่อเราอายุเข้าสู่ช่วงปลาย 20 คอลลาเจนและอีลาสตินซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนโครงสร้างพยุงผิว จะเริ่มลดปริมาณลงประมาณ 1% ทุกปี ทำให้ชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) บางลงและขาดความยืดหยุ่น ส่งผลให้ผิวเริ่มยุบตัวและหย่อนคล้อยลงตามแรงโน้มถ่วง

พันธุกรรม: คุณภาพผิวและโครงสร้างกระดูกบนใบหน้าที่เราได้รับมาจากพ่อแม่ ล้วนมีส่วนกำหนดแนวโน้มและความเร็วของการเกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อย บางคนอาจมีโครงสร้างกระดูกที่รองรับผิวได้ดี ทำให้ปัญหาเกิดช้ากว่าคนอื่น

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงอย่างรวดเร็วจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวสูญเสียความหนาแน่น ความชุ่มชื้น และความกระชับไปอย่างเห็นได้ชัด

สาเหตุผิวหน้าหย่อนคล้อยจากปัจจัยภายนอกและพฤติกรรม (External Factors & Lifestyle)

แสงแดด (Photoaging): นี่คือ “ตัวการอันดับหนึ่ง” ที่เร่งให้ผิวแก่ก่อนวัยและหย่อนคล้อย รังสียูวีในแสงแดดสามารถทะลุทะลวงเข้าไปทำลายเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินโดยตรง ทำให้โครงสร้างผิวเสื่อมสภาพและพังทลายลงก่อนเวลาอันควร

การสูบบุหรี่และอนุมูลอิสระ: สารพิษในควันบุหรี่ไม่เพียงแต่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินที่มีอยู่ แต่ยังทำให้หลอดเลือดหดตัว ส่งผลให้ออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงผิวได้ไม่เต็มที่ และยังขัดขวางกระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่อีกด้วย

การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว: การลดน้ำหนักที่หักโหมเกินไป ทำให้ไขมันบนใบหน้าหายไปอย่างรวดเร็วจนผิวหนังปรับสภาพตามไม่ทัน เหมือนลูกโป่งที่แฟบลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดปัญหา “ผิวหย่อนคล้อยหลังลดน้ำหนัก” ที่เห็นได้ชัด

ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ: เมื่อเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งจะไปสลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว ประกอบกับการพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้กระบวนการซ่อมแซมผิวตามธรรมชาติไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

โภชนาการ: การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงเกินไปจะเร่งกระบวนการไกลเคชั่น (Glycation) ที่ทำลายโปรตีนในผิว ส่วนการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน เช่น โปรตีน วิตามินซี และสังกะสี ก็ทำให้ผิวไม่สามารถสร้างโครงสร้างใหม่มาทดแทนของเก่าที่เสียไปได้

วิธีแก้ผิวหย่อนคล้อย: ตั้งแต่การดูแลตัวเองถึงมือแพทย์

การแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยมีหลายระดับ ตั้งแต่การดูแลขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งแต่ละวิธีก็ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป

การดูแลผิวในชีวิตประจำวัน (Skincare Routine for Firming)

การเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์จำเพาะ สามารถช่วยชะลอและฟื้นฟูผิวได้ในระดับหนึ่ง โดยควรมองหาส่วนผสมเหล่านี้:

เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น Retinol, Retinaldehyde เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ได้รับการยอมรับทางการแพทย์ว่าสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน รวมถึงเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูแน่นและเรียบเนียนขึ้น

วิตามินซี (Vitamin C): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูงที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและมลภาวะ อีกทั้งยังเป็นปัจจัยร่วม (Co-factor) ที่สำคัญในกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน

เปปไทด์ (Peptides): เป็นโมเลกุลโปรตีนขนาดเล็กที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น

กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid): แม้จะไม่ได้ช่วยยกกระชับโดยตรง แต่การเติมความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยไฮยาลูรอนิก จะช่วยให้ผิวดูอิ่มฟูและริ้วรอยจากความแห้งกร้านดูตื้นขึ้น ทำให้โดยรวมแล้วใบหน้าดูสดใสขึ้น

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อชะลอความหย่อนคล้อย

ปกป้องผิวจากแสงแดด: การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไปทุกวัน คือสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันไม่ให้ผิวถูกทำลายไปมากกว่าเดิม

รับประทานอาหารที่เหมาะสม: เน้นอาหารต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างคอลลาเจน เช่น ปลาทะเล, ผักใบเขียว, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี, ถั่ว และธัญพืช

“ท่าบริหารใบหน้าลดความหย่อนคล้อย”: แม้จะไม่ได้ให้ผลถาวร แต่การบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าเป็นประจำ เช่น การทำปากจู๋สลับกับฉีกยิ้มกว้างๆ หรือการเงยหน้าแล้วทำท่าเหมือนจะจูบเพดานค้างไว้ สามารถช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้นได้ชั่วคราว

อ่านเพิ่มเติม: การดูแลผิวหน้าให้ขาวเนียนใสสุขภาพดี ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ที่ใช้ได้ทุกวัน

วิธียกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด (Non-Invasive Procedures)

skin care

สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็วกว่าการทาครีม ปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่น่าสนใจมากมาย:

เทคโนโลยีพลังงาน:

  • HIFU/Ultherapy: ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงยิงลงไปถึงชั้นพังผืดกล้ามเนื้อ (SMAS) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดดึงหน้า เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหดตัวและการสร้างคอลลาเจนใหม่จากภายใน
  • Thermage: ใช้คลื่นวิทยุ (Monopolar RF) ส่งพลังงานความร้อนลงไปกระชับผิวในชั้นหนังแท้ ช่วยจัดระเบียบและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและขาดความแน่น

หัตถการอื่นๆ:

  • การร้อยไหม (Thread Lifting): เป็นการสอดไหมละลายที่มีเงี่ยงเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อเกี่ยวและดึงยกผิวในบริเวณที่หย่อนคล้อย เช่น กรอบหน้าและร่องแก้ม ให้กลับเข้าที่
  • การฉีดฟิลเลอร์ (Fillers): เป็นการฉีดสารเติมเต็ม (ส่วนใหญ่คือ Hyaluronic Acid) เข้าไปในบริเวณที่เกิดการยุบตัวของกระดูกหรือไขมัน เช่น ขมับ, ใต้ตา, ร่องแก้ม เพื่อช่วยเติมเต็มและพยุงโครงสร้างผิวโดยรวม ทำให้ใบหน้าที่หย่อนคล้อยดูยกขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับผิวหน้าหย่อนคล้อย (FAQ)

ควรเริ่มดูแลผิวหย่อนคล้อยตอนอายุเท่าไหร่?
ตอบ: การ “ป้องกัน” ควรเริ่มให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะการทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่วัยรุ่น ส่วนการเริ่มใช้สกินแคร์กลุ่มชะลอวัย (Anti-aging) แนะนำให้เริ่มในช่วงอายุ 25 ปีขึ้นไป สำหรับการพิจารณาทำหัตถการทางการแพทย์ ส่วนใหญ่มักจะเริ่มทำกันในช่วงอายุ 30-35 ปีขึ้นไป หรือเมื่อเริ่มสังเกตเห็นสัญญาณความหย่อนคล้อยที่ชัดเจนขึ้น

ครีมยกกระชับใบหน้าได้ผลจริงหรือไม่?
ตอบ: ได้ผลจริง “ในระดับหนึ่ง” ครีมยกกระชับที่มีส่วนผสมที่ดีสามารถช่วยให้ผิวชุ่มชื้น, ริ้วรอยตื้นๆ ดูจางลง, และผิวโดยรวมดูแน่นขึ้นได้ แต่ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนเทียบเท่ากับการทำหัตถการทางการแพทย์ได้ เพราะครีมทำงานได้แค่ที่ผิวชั้นบน ไม่สามารถลงไปแก้ไขโครงสร้างผิวในชั้นลึกได้

การนวดหน้าหรือใช้กัวซาช่วยยกกระชับได้ถาวรไหม?
ตอบ: การนวดหน้าหรือการใช้กัวซาเป็นวิธีที่ดีในการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลือง ช่วยลดอาการบวมน้ำ ทำให้ใบหน้าดูสดใสและกระชับขึ้นได้ “ชั่วคราว” หลังทำ แต่ผลลัพธ์ไม่ถาวร เพราะไม่ได้เข้าไปแก้ปัญหาการสูญเสียคอลลาเจนในโครงสร้างผิว จึงต้องทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อคงผลลัพธ์ไว้

ข้อควรระวังและบทสรุป: กุญแจสู่ผิวตึงกระชับ

ข้อควรระวังเพื่อป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อย

อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาเกินจริง: ผลิตภัณฑ์หรือเครื่องมือที่อ้างว่าสามารถยกกระชับใบหน้าได้ถาวรในเวลาอันสั้น มักจะเป็นไปไม่ได้ ควรศึกษาข้อมูลตามหลักความเป็นจริง

ศึกษาข้อมูลหัตถการให้ดี: หากสนใจทำหัตถการ ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือเสมอ พร้อมทำความเข้าใจถึงผลลัพธ์ที่คาดหวังได้และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

การป้องกันดีกว่าการแก้ไข: การลงทุนกับการทาครีมกันแดดทุกวันและดูแลสุขภาพองค์รวมตั้งแต่อายุยังน้อย คือวิธีที่คุ้มค่าที่สุดในการชะลอความหย่อนคล้อย

สรุปประเด็นสำคัญ

  • สาเหตุ: ผิวหน้าหย่อนคล้อยเกิดจากปัจจัยภายใน (อายุ, พันธุกรรม, ฮอร์โมน) และปัจจัยภายนอกที่เร่งให้เกิดเร็วขึ้น (แสงแดด, ไลฟ์สไตล์)
  • วิธีแก้: มีหลากหลายแนวทาง ตั้งแต่การดูแลตัวเองด้วยสกินแคร์ที่เหมาะสม, การปรับพฤติกรรม, ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น
  • กุญแจสำคัญ: คือ “ความสม่ำเสมอ” ในการดูแล และ “การป้องกัน” ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะการชะลอปัญหาให้เกิดช้าที่สุด ย่อมง่ายและได้ผลดีกว่าการพยายามแก้ไขเมื่อปัญหาเกิดขึ้นมากแล้ว

BüGlam Writer

BüGlam Writer นักเขียนผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างเนื้อหาเกี่ยวกับความงาม ไลฟ์สไตล์ และบริการเสริมความงามทั่วไทย มุ่งมั่นนำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วนและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่าน BüGlam Writer พร้อมช่วยให้คุณค้นพบความงามในแบบของตัวเอง!

Related Posts